มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย (Leukemia)
เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ (Stem cells) ในไขกระดูก ส่งผลให้มีการผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติ ซึ่งไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และอาจไปแทนที่เซลล์เม็ดเลือดที่ดีในไขกระดูกได้
ความแตกต่างระหว่างมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันและเรื้อรัง
มะเร็งเม็ดเลือดขาวแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆ ตามความรุนแรง และระยะเวลาในการลุกลามของโรค ดังนี้
1. มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (Acute Leukemia)
ลักษณะ :
- เกิดอาการอย่างรวดเร็ว และมีความรุนแรง
- เซลล์เม็ดเลือดขาวมีความผิดปกติ ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ (immature cells หรือ blasts)
- ส่งผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์
ชนิด :
- Acute Lymphoblastic Leukemia (ALL) : พบมากในเด็ก
- Acute Myeloid Leukemia (AML) : พบในผู้ใหญ่มากกว่า
2. มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง (Chronic Leukemia)
ลักษณะ :
- ค่อยๆลุกลามอย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายเดือนหรือปี
- เซลล์เม็ดเลือดขาวมีความผิดปกติไม่ค่อยสมบูรณ์ (mature cells) แต่ยังคงสามารถทำงานได้ แต่ไม่เต็มที่
ชนิด :
- Chronic Lymphocytic Leukemia (CLL) : พบในผู้สูงอายุ
- Chronic Myeloid Leukemia (CML) : เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมฟิลาเดลเฟีย
ระยะของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันไม่มีการแบ่งระยะเหมือนมะเร็งชนิดอื่น (เช่น ระยะ 1-4) แต่จะพิจารณาตามความรุนแรงของโรค
- ระยะเริ่มต้น : เซลล์เม็ดเลือดขาวมีความผิดปกติ และค่อยๆเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น แต่ยังไม่แสดงอาการชัดเจน
- ระยะลุกลาม : เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ผิดปกติจะเริ่มแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง
- ระยะวิกฤติ : เกิดความเสียหายต่ออวัยวะที่สำคัญ เช่น ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดปกติได้
สำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง (โดยเฉพาะ CML) มีการแบ่งระยะดังนี้
- ระยะเรื้อรัง (Chronic Phase) : อาการไม่รุนแรง เซลล์เม็ดเลือดขาวมีการเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
- ระยะเร่ง (Accelerated Phase) : เซลล์มะเร็งเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ระยะวิกฤติ (Blast Phase) : คล้ายมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน
ระยะที่รักษาให้หายได้
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน : หากได้รับการวินิจฉัย และรักษาเร็วในระยะเริ่มต้น มีโอกาสที่จะรักษาหายสูง โดยเฉพาะในเด็กที่เป็น ALL
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง : สำหรับ CML การรักษาด้วยยาในกลุ่ม Tyrosine Kinase Inhibitors (TKIs) ทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะควบคุมโรคได้ดี แต่การรักษาให้หายขาดยังเป็นเรื่องที่ไม่มีความชัดเจน
การตรวจวินิจฉัย
การวินิจฉัยมะเร็งเม็ดเลือดขาวประกอบด้วย
- การตรวจเลือด (Complete Blood Count, CBC) : พบจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ หรือพบเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดรูป
- การตรวจไขกระดูก (Bone Marrow Biopsy) : ใช้เข็มเจาะเพื่อเก็บตัวอย่างไขกระดูกมาตรวจหาเซลล์มะเร็ง
- การตรวจพันธุกรรม (Cytogenetics) : ค้นหาความผิดปกติของโครโมโซม เช่น โครโมโซมฟิลาเดลเฟียใน CML
- การตรวจด้วยเครื่องมือภาพ (Imaging) : เช่น การทำ CT Scan หรือ MRI เพื่อดูการแพร่กระจาย
- แนวทางการรักษา
5.1 มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (Acute Leukemia)
- เคมีบำบัด (Chemotherapy) : ใช้เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง
- การปลูกถ่ายเซลล์สเต็มเซลล์ (Stem Cell Transplant) : ใช้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อเคมีบำบัด
- การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) : ใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะเซลล์มะเร็ง
5.2 มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง (Chronic Leukemia)
- ยาในกลุ่ม Tyrosine Kinase Inhibitors (TKIs) : เช่น Imatinib สำหรับ CML
- การเฝ้าระวัง (Watchful Waiting) : สำหรับ CLL ในระยะต้นที่ยังไม่มีอาการ
- การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ : ใช้ในกรณีที่มีอาการดื้อต่อการรักษารูปแบบอื่นๆ
สรุป
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
- มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังลุกลามช้ากว่า แต่ต้องเฝ้าระวังไม่ให้เข้าสู่ระยะวิกฤติ
- การตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำ และการรักษาตามแนวทางที่เหมาะสมช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้ดีขึ้น