ปัจจุบันเริ่มมีการศึกษาวิจัยเบื้องต้นพบว่า ฝุ่น PM2.5 ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดได้มากถึง
1 – 1.4 เท่า ซึ่งถือว่ามีความร้ายแรงเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีอัตราผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด หรือโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจเพิ่มสูงขึ้น โดยโรคมะเร็งปอดถือเป็น 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบบ่อย พบมากเป็นอันดับ 2 ในเพศชาย และอันดับ 5 ในเพศหญิง
สาเหตุหรือสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดหรือโรคระบบทางเดินหายใจ หากไม่นับผลข้างเคียงจากโรคโควิด-19 สิ่งแรกที่พวกเรานึกถึงก็คงไม่พ้น ‘ควันบุหรี่’ แต่รู้ไหมว่า นอกจากควันบุหรี่แล้ว ยังมีภัยร้ายอีกตัวหนึ่งที่เป็นภัยเงียบต่อปอดของเรา นั่นก็คือ “PM2.5” นั่นเอง
PM2.5 หมายถึง อนุภาคขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (micrometers) ซึ่งมีขนาดเล็กมากที่สุดจากอนุภาคฝุ่นที่ถูกวัดและมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยเฉพาะต่อระบบทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถซึมผ่านเข้าสู่ปอดได้ง่าย และส่งผลร้ายต่อปอดในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงหรือเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะสุขภาพที่ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด โรคเรื้อรังของปอด เป็นต้น
PM2.5 สามารถส่งผลกระทบต่อปอดในระยะยาวได้หลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการกระตุ้นการอักเสบในทางเดินหายใจ ฝุ่นควันอนุภาคเล็กนี้สามารถซึมผ่านเข้าสู่ปอดและก่อให้เกิดการอักเสบและอักเสบเรื้อรังในปอดได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการหายใจแสบร้อน ไอ มีเสมหะ หายใจติดขัด และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น โรคหอบหืดหรือโรคเรื้อรังของปอด
นอกจากนี้ PM2.5 ยังมีสารพิษและสารเคมีต่างๆ ที่แนบอยู่กับอนุภาคด้วย ซึ่งอาจเป็นสารที่เกิดจากการเผาไหม้ การปล่อยของยางรถยนต์ หรือกิจกรรมอุตสาหกรรมอื่นๆ เมื่อสูดเข้าไปในปอด สารพิษเหล่านี้อาจก่อให้เกิดการทำลายเซลล์ปอดและเส้นเลือดในปอด และส่งผลให้เกิดอาการอักเสบเรื้อรังในระยะยาว และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังในระยะยาว เช่น โรคหอบหืด โรคเส้นเลือดหัวใจ และมะเร็งปอด