มะเร็งปอดโดยรวมแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
- มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์ตัวเล็ก ( Non-small Cell Lung cancer )
- มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก ( Small Cell Lung cancer )
เราให้ความสนใจกลุ่ม Non-small cell lung cancer มาก เพราะมีโอกาสพบได้ถึงร้อยละ 80 โดยเมื่อดูชนิดย่อยของ Non small cell lung cancer ลงไปอีกพบว่า ร้อยละ 80 – 85 เป็นชนิด Adenocarcinoma ซึ่งตอบสนองได้ดีต่อยามะเร็งแบบมุ่งเป้า ( Targeted Therapy )
การจะใช้ยามะเร็งแบบมุ่งเป้าได้นั้นจะต้องมีการตรวจยีน หรือที่เรียกว่า “ Biomarker ” ก่อน ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้มีประโยชน์หลายอย่าง คือ
– ช่วยพยากรณ์ของโรคได้ว่าโรคมีความรุนแรงแค่ไหน
– ช่วยให้เลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้ เช่น การให้ยามุ่งเป้าที่ตรงกับยีนของผู้ป่วย
– ช่วยให้เลือกยาในกลุ่มผู้ป่วยที่มียีนดื้อยาได้
การตรวจยีน ( Biomarker ) มีการตรวจทั้งหมด 3 วิธี
- การตรวจหายีนกลายพันธุ์ทีละตัว เป็นการไล่ตรวจยีนทีละตัว โดยจะไล่ตรวจจากยีนที่มีโอกาสพบการกลายพันธุ์ได้บ่อยก่อน ใช้ระยะเวลารอผลประมาณ 3 – 5 วัน
- การตรวจหายีนกลายพันธุ์เป็นกลุ่ม ข้อดีของการตรวจแบบนี้ คือ จะใช้ชิ้นเนื้อเพียงครั้งเดียว แต่สามารถตรวจยีนกลายพันธุ์ที่พบบ่อยในมะเร็งปอดได้หลายๆ ตัว ซึ่งจะใช้เวลารอผลประมาณ 2 สัปดาห์
- การตรวจหายีนกลายพันธุ์แบบครอบคลุม สามารถตรวจยีนได้ครั้งละประมาณ 200 – 300 ตัว ใช้ระยะเวลารอผล 2 สัปดาห์
โดยในคนไข้คนไทยที่พบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม จะมียีนกลายพันธุ์ที่พบได้บ่อยคือ ยีน EGFR พบได้ร้อยละ 60 รองลงมาคือ ยีน ALK พบได้ร้อยละ 5 ดังนั้นการตรวจยีนในคนไทยจึงนิยมตรวจทีละตัว
การตรวจยีนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ แต่มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้แพทย์สามารถกำหนดแนวทางการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยรายนั้นๆ ได้
หลักการการรักษามะเร็งปอดด้วยยามะเร็งแบบมุ่งเป้า ( Targeted Therapy )
ยามะเร็งมุ่งเป้านั้นมีความแตกต่างกับยาเคมีบำบัด กล่าวคือ มีความจำเพาะเจาะจงในการหยุดหรือชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเพียงอย่างเดียว โดยส่งผลต่อเซลล์ปกติของร่างกายเพียงเล็กน้อย ยามะเร็งแบบมุ่งเป้า จะทำการขัดขวางการทำงานของโมเลกุลสัญญาณมะเร็ง โดยอาจทำการจับโมเลกุลสัญญาณมะเร็งโดยตรงเพื่อให้มันหยุดการทำงาน ไม่สามารถกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้ หรือปิดกั้นผิวเซลล์มะเร็งเป้าหมาย ไม่ให้โมเลกุลสัญญาณมะเร็งเข้าไปในเซลล์มะเร็งเพื่อสั่งการตามปกติ ทำให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตช้าลงหรือหยุดลง
เนื่องจากยามะเร็งแบบมุ่งเป้านั้นมีความจำเพาะต่อโมเลกุลสัญญาณมะเร็งที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละชนิดมะเร็ง รวมทั้งมะเร็งชนิดเดียวกันยังอาจมีโมเลกุลสัญญาณมะเร็งหลายแบบ แพทย์จึงต้องทำการตรวจเลือดหรือตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งของบุคคลนั้นๆ เพื่อดูชนิดของโมเลกุลสัญญาณมะเร็งของผู้ป่วยว่ามีหรือไม่ และเป็นแบบใด เพื่อเลือกใช้ยามะเร็งแบบมุ่งเป้าให้เหมาะสมกับผู้ป่วยรายนั้น หากตรวจไม่พบโมเลกุลสัญญาณมะเร็งดังกล่าว ก็จะไม่สามารถให้ยามะเร็งแบบมุ่งเป้าแก่ผู้ป่วยรายนั้นได้
การกลายพันธุ์ของยีนที่พบได้บ่อยในมะเร็งปอด และมีการใช้ยามุ่งเป้าในการรักษา ได้แก่
- การกลายพันธุ์ของยีน EGFR หรือย่อมาจาก Epidermal Growth Factor Receptor ซึ่งพบได้บ่อยในชาวเอเชียประมาณ 60% โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่ หรือเลิกสูบบุหรี่มานานกว่า 10 ปีขึ้นไป ยาในกลุ่มนี้ที่ใช้รักษาจะเป็นรูปแบบยารับประทาน
- ส่วนการกลายพันธุ์อีกชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยรองลงมา จะเป็นความผิดปกติของยีนที่ชื่อว่า ALK หรือย่อมาจาก Anaplastic Lymphoma Kinase ซึ่งพบได้ประมาณ 4-5% และพบส่วนใหญ่ในผู้ป่วยที่ไม่สูบบุหรี่เช่นกัน ผู้ป่วยที่มีการกลายพันธุ์ของยีนดังกล่าวข้างต้น จะตอบสนองดีต่อยามุ่งเป้าได้ถึง 70-80% ทำให้สามารถควบคุมโรคไม่ให้ลุกลามได้เป็นระยะเวลานาน และผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยจะเกิดการดื้อยากลุ่มนี้ เมื่อใช้ไปในระยะเวลาหนึ่ง และปัจจุบันได้มีการพัฒนายากลุ่มใหม่เพื่อนำมาใช้รักษาในกรณีที่มีการดื้อยาเกิดขึ้น
- การดื้อยาที่เกิดจากการใช้ยาต้าน EGFR และมีการกลายพันธุ์ชนิด T790M จะสามารถใช้ยา Osimertinib เพื่อรักษาการดื้อยาดังกล่าวได้ เป็นต้น