การรักษามะเร็งตับด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency ablation : RFA)
มะเร็งตับ (Hepatocellular carcinoma :HCC) เป็นโรคมะเร็งที่มีความสำคัญชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปการรักษามักจะเป็นการผ่าตัด (hepatectomy) หากแต่ก็มีบางกรณีที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ก็มีวิธีการรักษาโรคมะเร็งตับอื่นๆ ได้แก่ การฉีดยาเคมีบำบัดและสารอุดหลอดเลือด (TransArterial ChemoEmbolization:TACE) การฉีดทำลายมะเร็งตับด้วยแอลกอฮอล์ (Ethanol ablation) การทำลายมะเร็งตับด้วยความเย็นจัด (Cryoablation) และการทำลายมะเร็งด้วยความร้อนโดยวิธีต่างๆ
RadioFrequency Ablation (RFA) เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แพทย์ใช้รักษาผู้ป่วยมะเร็งตับ ข้อดีของการอาศัยความร้อนจากพลังงานคลื่นวิทยุ (Radiofrequency) ผ่านเข็มเพื่อไปทำลายก้อนมะเร็งตับ คือ เป็นวิธีการรักษาที่ไม่ซับซ้อน มีผลข้างเคียงน้อย สามารถใช้วิธีการรักษาแบบนี้ซ้ำๆ ได้ เมื่อตรวจพบก้อนมะเร็งโตขึ้นอีก ใช้เวลาพักฟื้นน้อย
กลไกในการรักษา
เครื่อง RFA ประกอบไปด้วยตัวผลิตพลังงานคลื่นวิทยุ เข็มไฟฟ้า RFA และแผ่นรองรับกระแสไฟลงดิน(ground pad) ใช้เพื่อส่งผ่านพลังงานความร้อนไปสู่ก้อนมะเร็งตับได้อย่างทั่วถึงทั้งก้อน ทั่วไปเข็มจะมีขนาด 14-17G และที่ปลายเข็มจะสามารถกางออกได้คล้ายร่ม โดยอาจมีจำนวนก้านร่มตั้งแต่ 3 -10 ก้าน โดยในการตั้งค่าพลังงานสำหรับเครื่อง RFA นั้นจะมีหลักการตั้งตาม algorithmsพลังงานคลื่นวิทยุที่ถูกส่งออกไปจากขั้วไฟฟ้า (electrode) จะชักนำให้เกิดไฟฟ้ากระแสสลับขึ้นภายในอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบปลายเข็ม RFA พลังงานเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นพลังงาน ความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 90-100o C เพื่อทำลายก้อนมะเร็งโดยรอบปลายเข็มในรัศมีประมาณ 2-5 ซม. ตัวเข็มจะเป็นตัวนำพลังงานเข้ามาภายในตับ สามารถสอดผ่านเข้าใต้ผิวหนัง บริเวณโคนและก้านของเข็มจะมีฉนวนหุ้มไว้โดยรอบ เป้าหมายของการทำลายก้อน มะเร็งตับ ด้วย RFA คือ ต้องการทำลายก้อนมะเร็งได้ทั้งหมดรวมทั้งเนื้อตับโดยรอบก้อนมะเร็งตับออกไปอีก 0.5-1 ซม. เพื่อไม่ให้มีเซลล์มะเร็งหลงเหลือ โดยความร้อนจะก่อให้เกิด protein coagulative necrosis ซึ่งทำให้เซลล์ถูกทำลายอย่างถาวร ดังนั้น การสอดปลายเข็มเข้าสู่จุดศูนย์กลางของก้อนมะเร็งจึงมีความสำคัญ จึงมักเป็นการทำภายใต้การระบุตำแหน่งโดยอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ultrasound guide or CT localization) เวลาที่ใช้ Ablation ประมาณ 8-20 นาที
ข้อบ่งชี้การรักษา
- ใช้รักษาได้ทั้งก้อนมะเร็งตับปฐมภูมิ และมะเร็งแพร่กระจายมาที่ตับ
- ใช้รักษาก้อนมะเร็งตับในกรณีที่มีขนาดไม่เกิน 5 ซ.ม. และก้อนมะเร็งในตับไม่เกิน 4 ก้อน จะต้องมีขนาดก้อนไม่เกิน 3 ซ.ม. ถ้าขนาดก้อนมะเร็งใหญ่กว่านี้อาจต้องมีการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย
- ตำแหน่งของก้อนมะเร็งจะต้องอยู่ลึกกว่าผิวตับ 1 ซม. และห่างจากเส้นเลือดใหญ่ เช่น hepatic vein, portal vein มากกว่า 2 ซม.
- ใช้บรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยมะเร็งตับที่มีก้อนขนาดใหญ่
- ใช้ลดขนาดก้อนมะเร็งตับให้เล็กลงเพื่อทำผ่าตัดได้ง่ายขึ้น
ข้อห้ามและข้อจำกัดในการรักษา
- ผู้ป่วย HCC ในขั้น Child’s class C
- ผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของโรคมะเร็งตับไปอวัยวะอื่นๆ
- ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (Abnormal coagulogram)
- ผู้ป่วยที่มีผลเกร็ดเลือดต่ำ (<50,000 uL)
- Prothrombine time <50%
- ผู้ป่วยที่มีก้อนมะเร็งติดกับท่อน้ำดี, ถุงน้ำดี, ลำไส้, หัวใจ และกระบังลม ซึ่งการทำ RFA อาจทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะดังกล่าวได้
การเตรียมตัวก่อนตรวจ
ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้าพักในโรงพยาบาล ก่อนรักษา 1 วัน เพื่อเตรียมความพร้อม ได้แก่
- รังสีแพทย์จะนัดพบผู้ป่วยและญาติ ก่อนการตรวจด้วยวิธีนี้ เพื่อจะอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติ ได้ทราบปัญหาของโรค การรักษา ผลดีของการรักษารวมทั้งภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการตรวจรักษาให้ผู้ป่วยและญาติได้เข้าใจ ร่วมทั้งประเมินสภาวะผู้ป่วยก่อนรับการรักษา
- เตรียมผิวหนังบริเวณหน้าท้องโดยเฉพาะชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่แพทย์จะแทงเข็ม (puncture)
- เจาะเลือดส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ LFT, Coagulogram, Platelet count, AFP, BUN, Creatinine
- ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ (On IV-Fluid)
- งดอาหารและน้ำดื่มก่อนการตรวจ 6 – 8 ชั่วโมงเนื่องจากต้องดมยาสลบขณะตรวจ
- ผู้ที่มีประวัติ แพ้ยา แพ้อาหารทะเล โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคไต ที่มีผลตรวจทางห้องปฎิบัติการทำงานของไตไม่ดี ต้องแจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ในห้องตรวจทราบทันที
การปฏิบัติตัวขณะรับการตรวจ
- ผู้ป่วยจะได้รับการจัดท่านอนให้เหมาะสมเพื่อสะดวกต่อการ puncture ซึ่งอาจนอนหงายราบหรือกึ่งตะแคงซ้าย แล้วแต่ตำแหน่งของก้อนมะเร็ง
- พยาบาลจะติดแผ่นรองรับกระแสไฟลงดิน(ground pad) ที่ต้นขาทั้งสองข้าง โดยหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นปุ่มกระดูก (bony prominence) เนื่องจากอาจทำให้มีการไหม้เกรียมที่บริเวณผิวหนังได้ นอกจากนั้นถ้าผู้ป่วยเคยได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกให้เปลี่ยนตำแหน่งที่ติด ground pads เป็นบริเวณหลังส่วนล่างของผู้ป่วย
- วิสัญญีแพทย์ให้ยาระงับความรู้สึก (local anesthesia, sedation, ยาแก้ปวด)
- รังสีแพทย์ทำความสะอาดบริเวณที่จะแทงเข็ม และทำการกำหนดตำแหน่งก้อนมะเร็งโดย real time US หรือ CT upper abdomen protocal
- รังสีแพทย์แทงเข็มจนถึงตำแหน่งก้อนเนื้อ และต่ออุปกรณ์เพื่อส่งสัญญาณไฟฟ้า
- กำหนดค่ากระแสไฟฟ้า และ รอจนครบเวลาตาม protocal ระหว่างนั้นถ้าปวด วิสัญญีแพทย์จะให้ยาลดความปวด
- เมื่อเสร็จสิ้นการตรวจรักษา แพทย์จะถอนเข็มออก แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซสะอาดไว้ 24 ชั่วโมง เมื่อครบกำหนดแพทย์จึงทำการเปิดแผล และทำความสะอาดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
การปฏิบัติตัวภายหลังการตรวจ
- นอนราบบนเตียงประมาณ 8-10 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการตกเลือด ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้
- หลังการตรวจผู้ป่วยต้องดื่มน้ำประมาณ 6-8แก้วเพื่อขับสารทึบรังสี
- ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวัน และทำงานได้ตามปกติยกเว้นงานหนัก เช่น แบกหามของหนัก หรือเล่นกีฬาที่ต้องออกแรงมาก
- ผู้ป่วยต้องติดตามผลการรักษากับแพทย์เจ้าของไข้ และถ้าแพทย์เจ้าของไข้เห็นควรให้รักษาต่อ ผู้ป่วยจะถูกส่งมาทำการรักษาซ้ำ ทุก 3 เดือน
ผลการวิจัยหลายชิ้นแสดงว่าการรักษาด้วย RFA ในมะเร็งตับให้ผลสำเร็จระหว่าง 52-67% และมีอัตรารอดชีวิต 1,3 และ 5 ปี เป็น 96% , 64% และ 40% ตามลำดับ และสำหรับมะเร็งแพร่กระจายมาตับ จะให้ผลการรักษาเพียง 45% เนื่องจากมีโอกาสเกิด microscopic tumor invasion น้อยกว่า